นำชมงานศิลปะ ที่หอศิลป์แห่งลอนดอน ((National Gallery of London)
เนื่องจากทัวร์อังกฤษครั้งนี้เป็นทัวร์ศิลปวัฒนธรรมโดยเฉพาะ ดังนั้นเตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลยว่าเราจะได้ไปชมงานศิลปะอย่างฮาร์ดคอร์ทุกสมัยทุกสไตล์แน่นอน
หอศิลป์แห่งลอนดอน เป็นหนึ่งในแกลอรี่ที่ดีที่สุดของโลก รวบรวมงานของศิลปินคนดังของโลกไว้หลายชิ้น ส่วนใหญ่เป็นงานจิตรกรรมของยุโรปโดยเฉพาะของอิตาลี อาจกล่าวได้ว่าหากนำเอาหนังสือ 1,000 ภาพที่ต้องดูก่อนตายมาเปิดดูก็จะพบว่ามีชิ้นงานหลายสิบชิ้นอยู่ในหนังสือเล่มนั้น และเนื่องจากภาพเหล่านี้เขียนขึ้นในระยะเวลาต่างกันเป็นนับร้อยปี จึงมองเรื่องราวเดียวกันด้วยสายตาที่แตกต่างภายใต้บริบทต่างกัน สร้างสรรค์ด้วยความหลงใหลคนละแบบ มีอุดมคติ คุณค่าที่ต่างกัน
นอกจากนั้น เราจะได้เห็นพระพักตร์ของพระเยซูในลักษณะของใบหน้าแบบเทพเจ้าที่วางเฉย ภาพของพระองค์ในอาการครุ่นคิด ละมุนละไม ภาพที่แลดูมีเลือดมีเนื้อและใบหน้าเจ็บปวด
เศร้าสร้อย ทุกข์ยาก ภาพพระเยซูที่ตกอยู่ในวิกฤติการณ์ที่เคร่งเครียด ชวนตกใจ หรืออ่อนระทวยแทบสิ้นแรง ภาพการเสด็จสู่สวรรค์เป็นแบบเคลื่อนคล้อยลอยเลื่อนอย่างสงบ
หรือการเสด็จขึ้นอย่างรุนแรงมีควันประทุพวยพลุ่งแบบยิงจรวด
เช่นเดียวกับรูปนักบุญ (Saint) เราจะได้เห็นการแสดงภาพที่ชวนศรัทธาของนักบุญที่แลดูสงบนิ่ง การอดทนต่อมหาทรมานของผู้ทรงศีล นักบุญจอร์จในชุดเกราะอัศวินที่ถือหอกฆ่าฟันมารร้าย จนถึงศีรษะของนักบุญยอห์นที่ถูกตัดหัวนำมาเสิร์ฟบนถาดชวนสยอง
สำหรับใครที่ชมชอบกับทวยเทพของกรีกและโรมันก็จะไม่ผิดหวัง
ที่นี่มีเรื่องราวสารพัด ภาพสงครามของทวยเทพหรือสัตว์ในนิยายโบราณ การตะลุมบอนวุ่นวายแบบภาพมารผจญ
ภาพเทพเจ้าที่กำลังตกในห้วงรักอย่างดูดดื่ม แม้แต่พระอังคาร (Mars) เทพแห่งสงครามที่มักปรากฏภาพการต่อสู้อย่างอาจหาญ ก็ยังพบภาพตอนที่นอนระทดระทวยอ่อนกำลังผ้าผ่อนหลุดลุ่ยมีเด็กน้อยๆมากลั่นแกล้งเล่นอีกด้วย
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์น่าจะชื่นชมกับภาพจำนวนมากที่ใช้ยุคสมัยต่างๆเป็นเรื่องราวแสดงเหตุการณ์ที่โลกจดจำยาวนาน
เช่นการฆาตกรรมกษัตริย์บาบิลอน จักรพรรดิอเลซานเดอร์ขณะกำลังจะตาย
ชัยชนะสงครามของจักรพรรดิโรมัน คลีโอพัตรากับมาร์คแอนโทนี่ การประหารเลดี้เจน
เกรย์ ราชินีเก้าวัน และอีกหลายโมเมนต์ที่นำเสนอแบบดราม่า
นอกจากที่ได้บรรยายมาแล้วยังมีภาพของศิลปินดังอย่างเช่น รูเบน วาร์เมียร์ เรมบรานท์
และใครต่อใครอื่นเยอะบรรยายกันไม่หวาดไหว รวมถึงไมเคิลแองเจโล และลีโอนาโดดาวินชี
อีกด้วย
และเพื่อที่จะให้ท่านผู้อ่านได้พอเห็นบางภาพที่สำคัญ
ผมจึงขอคัดเลือกมาบางส่วนนำเสนอบ้างนิดหน่อย เพื่อเป็นแรงบันดาลใจคุณได้ไปสู่หอศิลป์แห่งลอนดอนสักวันหนึ่งในอนาคต
พานพบกับภาพที่คุณชอบด้วยตาและด้วยใจของคุณเอง
Venus And Mars ของ บอตติเชลลี (Botticelli) ชายหนุ่มผมหุ่นดี ผมทองสลวย เปลือยกายหลับใหลอย่างไม่รู้ตัว กำลังถูกเด็กซุกซนสี่คนกลั่นแกล้งด้วยการเอาชุดเกราะมาเล่นเป่าแตรสังข์ข้างหู โดยมีผู้หญิงแสนงามอยู่ตรงปลายเท้า
นี่คือภาพของเทพเจ้ามาร์สหรือพระอังคาร เทพแห่งสงครามผู้ดุดัน ศิลปินวาดภาพใบหน้าได้อย่างดี มองแล้วรู้สึกได้เลยว่าพระองค์กำลังหลับลึกและกรนโดยไม่รู้ตัว สิ้นเรี่ยวแรงเมื่ออยู่กับวีนัสซึ่งเป็นเทพีแห่งความงามผู้มีผมสีทองสลวยในชุดเสื้อคลุมบางเบาเฝ้ามองแบบอารมณ์เฉยๆ (ไม่รู้ว่าทำไมถึงเฉยได้ขนาดนี้นะ)
บอตติเชลลี่วาดภาพพระอังคารได้ระทดระทวยหมดท่ามีสภาพอารมณ์แบบมนุษย์ทั่วไปซึ่งเราไม่ค่อยได้เจอเท่าใดนัก บ่งชี้ชัยชนะแห่งความงามของวีนัสที่ดูไร้เดียงสาแต่สามารถสยบเทพแห่งสงครามได้อย่างราบคาบ
ต่อไปขอแนะนำภาพ Bacchus และ Ariadne ของทิเชียน (Titian) ซึ่งเป็นเรื่องราวเทพปกรณัมกรีก ตอนที่นางเอเรียดถูกเธเซอุสคนรักเดิมทิ้งเธอไว้ที่เกาะเนซัซอย่างเดียวดาย แต่ทันใดนั้นแบคคัส เทพเจ้าแห่งไวน์ซึ่งหลงเสนห์ในตัวเธอก็ได้ขับรถทรงเทียมเสือดาวเข้ามาแล้วโผเข้าหาด้วยความเร่าร้อน
ทิเชียนเขียนภาพนี้อย่างได้อารมณ์ จัดท่าเหาะโหนโจนทะยานของแบคคัสอย่างไร้สติด้วยใบหน้าตื่นเต้นสุดขีด ซึ่งรับรองได้ว่าหลังจากโดดขึ้นแบบนี้แล้วคงจะหกคะเมนลงมาอย่างแน่นอน นี่คือการแสดงออกถึงอาการเมารักจนหลงลืมตัวเอง
นอกจากนั้นสเน่ห์ของภาพอีกอย่างหนึ่งคือเหล่าฝูงชนที่ติดตามแบคคัสมามีสภาพเป็นตัวละคร
เป็นเหล่าอมนุษย์ที่ดูน่าพิศวงราวกับว่าผู้เขียนได้ขุดเอาโลกของเทพเจ้าในตำนานทั้งมวลมาใส่ไว้ด้วยกันเพื่อให้ภาพดูมีมหัศจรรย์มากขึ้น
อีกภาพหนึ่งที่ชวนตะลึง คือภาพ Supper at Emmaus วาดโดยคาราวัจจิโอ (Caravaggio) แสดงถึงพระเยซูที่ประทับบนโต๊ะอาหารท่ามกลางสาวกที่กำลังตื่นตระหนก
นี่คือชีวประวัติของพระเยซูตอนที่พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายและได้มาพบสาวก ในครั้งแรกสาวกจำพระองค์ไม่ได้ จนกระทั่งมื้ออาหารค่ำคืนนั้นพระองค์ได้หยิบขนมปังมาแบ่งให้เขาซึ่งทำให้สาวกทุกคนจำได้ และเกิดความตระหนกสุดขีด
ศิลปินคาราวัจจิโอได้จับวินาทีนั้นเป็นภาพที่เราเห็น โดยสาวกทางซ้าย (คลีโอฟาส) กำลังทำท่ากระโจนออกจากที่นั่ง ส่วนทางขวา (เปโตร) กางแขนออกพุ่งมือมาราวกับจะทะลุเฟรมทิ่มตาเรา ในขณะที่พระเยซูยังคงมีใบหน้าสงบราวกับจะรับรู้ปฎิกริยานี้อยู่แล้ว
ลักษณะเช่นนี้เป็นแนวเขียนภาพในยุคบาโรก ซึ่งวาดภาพบุคคลที่เคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน
และแสดงอารมณ์ต่างๆได้ชัดเจน แช่แข็งเสี้ยวเวลาของการเคลื่อนไหวนั้นไว้
นอกจากนี่การให้แสงงานในลักษณะความมืดและสว่างตัดกันรุนแรงเป็นเทคนิคที่เรียกว่า Chiaroscuro ซึ่งคาราวัจจีโอ นำมาใช้ได้อย่างดีเยี่ยมจนให้อารมณ์ตื่นเต้นได้อย่างละคร
ศิลปินอังกฤษอีกคนที่มีชื่อเสียงและมีงานสะสมที่นี่มากคือ วิลเลียม เทอร์เนอร์ (JW. Turner) หากใครเป็นแฟนคลับของเทอร์เนอร์ขอบอกว่าคอลเลคชั่นที่นี่มีงานของเขาอยู่มากทีเดียว
งานของเทอเนอร์เป็นกลุ่มโรแมนติคที่วาดภาพบรรยากาศธรรมชาติโดยไม่ได้ถูกเห็นในแบบที่มันเป็นจริงๆ เขาแสดงสีสันเลื่อมพรายประกายม่านหมอกขมุกขมัว ชวนให้นึกถึงท้องฟ้า แสงแดด ทะเล พายุ ฝนครึ้ม ยามเช้า ยามเย็น หรืออื่นๆที่เราแต่ละคนจินตนาการไปถึง บางครั้งอาจเห็นภาพเรือใบล่องลอยอยู่
งานของเทอร์เนอร์อยู่ในช่วงยุคโรแมนติกซึ่งศิลปินนิยมวาดภาพธรรมชาติที่แสดงพลังยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์
ซึ่งถ้าคุณได้มาเห็นภาพอันงดงามเหล่านี้แล้วก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากเพราะศิลปินเขียนมาอย่างชัดเจนรุนแรงสวยงามอยู่แล้ว แต่ถ้ามองแล้วไม่พบว่าเป็นอย่างที่บรรยายก็ไม่เป็นไรส่วนตัวผมดูแล้วนึกถึงภาพของอาจารย์ประเทือง เอมเจริญของเราหลายภาพ ฝีมือไม่แพ้กัน
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณอยากจะพบกับผลงานศิลปินอังกฤษในยุคสมัยใหม่หลายคนแล้วไม่เจอที่นี่ ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะงานสมัยใหม่หลายชิ้นที่เคยเป็นของที่นี่ได้ย้ายไปอยู่ในหอศิลป์เททบริเตนและเททโมเดร์นแล้ว และเราก็จะได้ไปเยือนต่อไปในอีกวัน ไปด้วยกันนะ
หมายเหตุ
ยังมีงานอีกหลายชิ้นที่ยังไม่ได้อธิบายใน blog นี้ แต่อาจอ่านได้ที่อีบุ๊ค ซึ่งจะทำทีหลังครับ
Comments
Post a Comment