เที่ยวลอนดอนวันที่ 1 (น้องหมา พระราชวังริมเทมส์ เข็มคลีโอพัตรา ทหารหล่อ)
ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง
หลังจากส่งใจไปอังกฤษมาแสนนานก็ได้เวลาส่งกายไปสักที สายการบิน Golf
Air นำร่างของผมมาถึงแผ่นดินอังกฤษที่สนามบินฮีทโธวร์แต่เช้าตรู่ ผ่านอะไรต่อมิอะไรสารพัด
แต่เป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ ในที่สุดก็ได้มา นั่งรถไฟความเร็วสูงสู่ใจกลางกรุงลอนดอน
พลางคิดในใจว่านี่ไม่ใช่วันแรกของการมาลอนดอน เท่านั้น แต่ยังเป็นวันแรกของมายุโรปในชีวิตอีกด้วย วันนี้จึงเป็นวันสำคัญของการเดินทางและก็เป็นวันสำคัญของชีวิต เพราะการเดินทางนั้นสำคัญต่อชีวิตของเรา ฟังดูวกวนดีไหมฮะ
ออกจากรถไฟไปต่อรถใต้ดินแล้วโผล่ขึ้นบกลากกระเป๋าไปอย่างงุนงน
ที่พักของผมนั้นไม่น่าจะหายากเพราะอยู่ใกล้ถนนใหญ่แต่มันยากสำหรับคนไม่คุ้นเคย
ในที่สุดก็พบจนได้ palerlodge เป็นอาคารใหญ่โตที่เรียกว่าคฤหาสน์สร้างจากอิฐและหินในสไตล์วิคตอเรียสวยงามมาก
คิดอยู่ในใจว่าถ้าฉันถ่ายรูปมาอวดเพื่อนๆคงถูกอิจฉาตาร้อน นอกจากนั้นที่นี่ยังได้รางวัลอะไรสักอย่างเป็นตัวการันตีคุณภาพอีกด้วย
“เปล่าค่ะ นี่เป็นพวงกุญแจห้องเก็บสัมภาระให้คุณไปเก็บของแล้วค่อยมาอีกทีตอนเย็น
เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเช็คอินก็เลยเข้าห้องไม่ได้” อ้าว สงสัยว่าทำไมกุญแจถึงใหญ่ขนาดนี้เท่าขนาดเท่าหมาจริงเลย
คิดว่าคงจะมีคนทำหายบ่อยและถ้าหายก็จะเป็นเรื่องใหญ่โตทีเดียว พอจะเข้าใจอยู่นะ ว่าแต่ตอนนี้ขอเดินเข้าไปแอบมองห้องหับที่เราจะได้มาอยู่ก่อน
ลืมบอกไปว่าเราเช่าห้องพักราคาถูก เอ๊ย ราคาประหยัดในห้องดอร์มที่มีคนอยู่ 20 กว่าคน อันที่จริงผมก็ไม่ได้จนหรอกนะแต่ต้องการความอบอุ่น น่าจะได้เจอเพื่อนฝูงดีๆจากทั่วมุมโลกในที่พักหรูหราโอ่อ่าได้รางวัลดีเด่นแห่งนี้
หวังว่าคงอยู่เย็นเป็นสุข
จะจริงหรือเปล่าเดี๋ยวคืนนี้รู้
ว่าแต่เราใช้เวลาให้เต็มที่ในเช้านี้ไปชมกรุงลอนดอนกันเถอะ
ก่อนอื่นขอทำตัวเป็นไกด์แนะนำกรุงลอนดอนฉบับย่อสุดขีดให้ท่านทั้งหลายได้สดับกันหน่อย แต่ว่าไปแล้วขอท้าวความไปถึงเกาะอังกฤษในยุคโบราณก่อน (ไปอยู่อีกลิงก์นึง ยังทำไม่เสร็จ)
มาถึงวันแรกก็ต้องมาเหยียบแลนด์มาร์ก (Land Mark) สำคัญของลอนดอนก่อนอื่น พระราชวังเวสต์มินสเตอร์หรือรัฐสภา นาฬิกาบิ๊กเบน หรือชื่อเรียกทางการว่าหอคอยอลิซาเบธ สร้างจากหินปูนสีน้ำผึ้ง (Clipsham Stone) ทอดตัวยาวไกลริมฝั่งแม่น้ำเทมส์
พื้นที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางของกรุงลอนดอนมาเนิ่นนาน
มีพระราชวังและวิหารยุคแรกมาตั้งแต่เกือบพันปีมาแล้ว ตั้งแต่ศตวรรษที่11
สมัยพระเจ้าคนุตมหาราช (Canut The Great) มีการต่อเติมปรับเปลี่ยนรูปแบบหลายครั้ง
โดยในสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพค์ทรงสร้างวิหารพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ แอบบี้
ซึ่งแปลตามศัพท์ว่าวิหารฝั่งตะวันตก ดังนั้นพระราชวังแห่งนี้เลยได้ชื่อเรียกว่าพระราชวังเวสต์มินสเตอร์
(Westminster palace) ตามวิหารนั้น
พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ที่เราเห็นตอนนี้ไม่ใช่ของเก่า
เนื่องจากมีเพทภัยต่างๆหลายครั้ง ดังเช่นไฟไหม้ในปี 1512 และในปี1834
ซึ่งทำลายวังเสียเกือบทั้งหมดจึงต้องมีการเริ่มสร้างขึ้นใหม่ เราจึงได้เห็นอาคารแบบโกธิค
มีหอคอยยอดแหลมและหน้าต่างกระจกยอดโค้งแหลมบานใหญ่สูงยาว
ซึ่งบางส่วนเป็นกระจกสีและมีภาพสวยงามแบบเดียวกับโบสถ์โกธิค รวมทั้งนาฬิกาบิกเบนซึ่งมีการใช้จักรกลสมัยใหม่ในยุคนั้นอีกด้วย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ถูกโจมตีอย่างหนักจากเครื่องบินของเยอรมัน ถูกระเบิดถล่มถึง 14 ครั้งด้วยกัน แต่ถึงกระนั้นก็สามารถซ่อมแซมจนกลับมาใช้งานได้อีกในภายหลัง
แต่ก็ยังไม่วายเป็นเป้าหมายของขบวนการก่อการร้ายต่างๆเป็นครั้งคราว
ดังเช่นกลุ่มโปเตสแตนที่ต้องการประหารพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ซึ่งเป็นคาธอลิก และมี Guy
Folk เป็นหนึ่งในนั้น ทำการวางระเบิดแต่ไม่สำเร็จ ต่อมามีก็กลุ่มปลดปล่อยไอริส (Fenian) มาวางระเบิดอีกเช่นกัน และต่อด้วยโดยกลุ่มกองทัพปลดแอกแห่งชาติไอริส (IRA)
[1] หมายเหตุ Guy Folk มีสัญลัักษณ์ที่คนจำได้คือหน้ากากขาว เป็นจอมโจรจอมใจซึ่งเราจะได้กล่าวถึงในตอนเที่ยวสก็อตแลนด์ต่อไป
ณ จุดที่นั่งอยู่นี่มีอนุสาวรีย์เสาหินสูง นี่คือเสาหินยอดแหลมที่เรียกว่าเข็มของคลีโอพัตรา (Cleopatra's Needle) เป็นเสาสูงโบราณที่ได้มาจากอียิปต์ ทำขึ้นในรัชสมัยฟาโรห์ Thutmose ที่ 3 สลักอักษรฮีโรกริฟฟิคเล่าเรื่องฟาโรห์ และการบูชาเทพต่างๆ คล้ายๆกับศิลาจารึกของเรา
ใกล้กันมีสฟิงค์สีดำซึ่งหล่อขึ้นจากโลหะสัมฤทธิ์คอยพิทักษ์รักษาเข็มยักษ์เล่มนี้ไว้มีถ้อยคำภาษาอียิปต์โบราณที่แปลได้ว่า “พระองค์ผู้ทรงบารมี ทุสโมชิชที่ 3 ผู้ให้ชีวิต” จารึกไว้
ต่อจากนี้เดินเล่นเรื่อยไป พบตึกใหญ่มีประติมากรรมผู้หญิงเปลือยสองนางกึ่งนั่งกึ่งนอนโพสต์ทำยั่วยวนมองลงมาแต่พอมองต่ำลงมาก็เจอทหารร่างใหญ่ยักษ์ถือปืนจ่อเล็งเราอยู่ กรี๊ดดดดด
นี่คืออาคารกระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร ประติมากรรมด้านบนมีชื่อว่า Earth and Water ซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามาทำไรที่นี่และเกี่ยวข้องอะไรกับกระทรวงกลาโหม แต่ช่างเถอะ มาถึงตรงนี้แล้วก็ขอแวะถ่ายรูปทหารรูปหล่อคนนี้ก่อน แต่พอเข้าไปแล้วก็ไม่ได้ถ่ายเพราะเขาไม่ยอมบอกว่าไอกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ กำลังจะถามต่อว่าหลังปฏิบัติหน้าที่มาถ่ายรูปด้วยกันอีกก็ยังได้นะ
พอดีหัวหน้าทหารอีกคนก็เดินเข้ามา คงจะสงสัยว่าเราจะมาวางระเบิดกระทรวงฯรึเปล่า ถึงตอนนี้เห็นท่าจะไม่ดีซะแล้วก็เลยเซย์กู๊ดบายไปก่อน
คืนแรกที่ลอนดอน
เต่อไปคือช่วงเวลาแห่งการไร้สาระแล้ว ช่วยอ่านหน่อยเถอะนะฮะ
เกือบค่ำก็กลับสู่ที่พักเข้าสู่โหมดพักผ่อน
ห้องพักรวมที่ผมอยู่มีเตียงไม้สองชั้นรวมกันประมาณสิบเตียงและมีคนอยู่เกือบเต็ม ผมได้เตียงชั้นสองซึ่งปีนป่ายบันไดไปได้ไม่ยากแต่สิ่งที่ยากกว่าคือการขนย้ายกระเป๋าไปข้างบน แต่นั่นก็ไม่ได้ยากไปกว่าการดูแลรักษามันไว้ โชคดีที่สัมภาระไม่มากมายจนแย่งที่นอน แต่การอยู่รวมกับคนยี่สิบคนแบบนี้ต้องระวังมาก ส่งเสียงดังก็ไม่ได้ แถมในห้องก็มืดอีกมีแสงอยู่นิดเดียว เวลาหยิบอะไรออกมาถ้ามีถุงก๊อบแก๊บก็จะได้ยินไปทั่ว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตุ่นอยู่ในรูแคบๆ อย่างไรก็ตามแม้ว่าการดำรงชีพอยู่ในเตียงจะแย่แล้ว แต่การเดินทางไปอาบน้ำนั้นยากยิ่งกว่า
โอ๊ย เขียนมาถึงตรงนี้แล้วสิ่งเลวร้ายต่างๆก็เข้ามาหลอกหลอน นึกไปถึงสมัยเรียน รด. ก็รู้สึกลำบากแล้วตอนนี้ลำบากยิ่งกว่านั้นอีก ปัญหาสำคัญก็คือความเสี่ยงต่อทรัพย์สินสูญหาย เพราะขณะที่เราท่องเที่ยวอยู่ตอนกลางวัน คอยระมัดระวังทรัพย์สินเงินทองที่ได้ซ่อนไว้อกซ้ายอกขวาเอวซ้ายคอขวา แต่ในที่สุดตอนอาบน้ำก็ต้องควักเอาทุกอย่างที่ซ่อนไว้ออกมา การทิ้งสิ่งของไว้บนเตียงไม่น่าจะทำให้ใจสบายได้เลย แถมที่นี่ก็ไม่มีล๊อกเกอร์ให้อีก
โชคดีมากที่เราติดถุงใบใหญ่โตจากเมืองไทยมาเอาไว้ใส่ของยังชีพ อุปกรณ์อาบน้ำ แปรงสีฟัน ครีมทาตัว แชมพู สบู่ ถือพะรุงพะรังไปยังห้องอาบน้ำที่แคบแสนแคบ เปลื้องตัวเอาธนบัตร บัตรเครดิต พาสปอร์ต เช็คเดินทาง เงิน ที่อุตส่าห์ซ่อนไว้มารวมกันในถุงบางๆไม่ให้ตกหล่น คิดในใจว่าถ้าเกิดหลงลืมถุงนี้ไว้ที่ไหนสักแห่งทรัพย์สินทั้งหมดก็จะอันตรธาน ว่าแล้วก็ปิดถุงให้มิดชิดก่อนที่จะเจอกับสายน้ำที่สาดรุนแรง
ที่น่าสงสัยมากก็คือ ที่นี่เขาไม่จ้างสถาปนิกมาออกแบบหรือไง ทางไปห้องน้ำนั้นจะต้องเดินผ่านประตูสองสามชั้น แต่ละประตูก็ต้องใช้การ์ดรูดเข้าออกทั้งนั้น เขาจะทำแบบนี้ไปทำไมนะ พออาบเสร็จแล้วก็ต้องนำทรัพย์สินสารพัดลงออกมาจัดเรียงใหม่ให้พร้อมที่จะเอาไปใช้เดินทางวันพรุ่งนี้ นั่นก็ยุ่งอีกแล้วเพราะในห้องรวมนั้นทำอะไรไม่ได้เลย มืดก็มืด ยังดีที่หน้าห้องมีม้านั่งยาวตัวนึงให้เราไปทำอะไรต่อมิอะไรได้
ก่อนนอนผมนำทุกสิ่งที่ห่วงและหวงไว้ข้างตัว จำให้ได้ว่าวางอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง (แต่เอาเข้าจริงก็ลืมทุกที และมักกลัวว่าจะทำหาย) แต่สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องทิ้งไว้ห่างกายคือโทรศัพท์มือถือ เพราะต้องเอาลงมาชาร์จตรงปลั๊กด้านล่างกลางห้องและเป็นปลั๊กที่พ่วงกันเยอะไปหมด ถูกแย่งกันเสียบจนน่าจะไหม้เร็วๆนี้ วันแรกเกิดอาการกังวลมากต้องมองลงไปว่ามันยังคงอยู่ดี แต่ว่าไปแล้วของข้างตัวก็สามารถถูกขโมยไปได้เหมืฮนกันเพราะมีแค่ผ้าม่านมาปิดบัง ใครบางคนล้วงมือเข้ามาก็เข้าถึงทุกอย่างได้แล้ว
แม้จะกระวนกระวายขนาดนั้นแต่ก็นอนหลับเร็วมาก หวังว่าพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาอย่างสดชื่นก่อนจะไปผจญโลก
Comments
Post a Comment