Natural History Museum มหาวิหารแห่งสรรพสัตว์ ของลอนดอน

 


 

พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาแห่งลอนดอน (Natural History Museum) เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตสะสมไว้จากทั่วโลก มีสถาปัตยกรรมที่เยี่ยมยอด และมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ 

นี่เป็นผลงานชิ้นเลิศของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานสไตล์เก่าและใหม่ให้มีลักษณะเฉพาะ ภายในจะเห็นซุ้มวงโค้งแต่ละซุ้มวางพาดระหว่างแนวเสาเรียงกันเป็นแถวยาว ที่จุดสิ้นสุดจะพบผนังที่มีหน้าต่างกระจกสีบานใหญ่เปิดให้แสงสว่างส่องเข้ามาภายใน 





นี่คือลักษณะของโบสถ์แบบโรมาเนสก์ผสมผสานกับโกธิค ทว่ามันไม่ใช่โบสถ์แต่เป็นสถานที่อาศัยของ โครงกระดูก หุ่นสต๊าฟ ฟอสซิล ของสรรพสัตว์และพืชพรรณ รวมถึงวัตถุธรรมชาติอื่นๆ

          ไม่ต้องแปลกใจหากเราได้รู้ว่าพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยการผลักดันของเซอร์ Richard Owen นักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการให้สร้าง “มหาวิหารแห่งธรรมชาติวิทยา” ซึี่งมีแนวคิดจากวิหารโบราณ แต่มีการใช้ดินเผาสีน้ำตาลอ่อนและเทามาวางเรียงปูบนส่วนต่างๆสร้างพื้นผิวขรุขระสีหม่นทั่วทั้งอาคาร ชวนให้คิดถึงผิวของกิ้งก่า ตุ๊กแก กระดองเต่า ผืนทราย พื้นผิวทางธรณีวิทยา หรืออะไรแล้วแต่จะจินตนาการ 

          ส่วนเสาอาคารก็ทำเป็นลวดลายที่ไม่มีที่ไหนเหมือน เป็นแพทเทิร์นเรขาคณิตสารพัดทั้งรูปเกลียว ข้าวหลามตัด รูปคลื่น ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากฟอสซิลของต้นไม้ ส่วนยอดเสานั้นเป็นรูปค้างคาว นกเค้าแมว โผล่มาจากพุ่มใบไม้ เพดานด้านบนมีภาพวาดปิดทองเป็นรูปพืชต่างๆ นอกจากนี้ส่วนอื่นๆของสถาปัตยกรรมก็ประดับไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในโลกนี้ ทั้งที่ยังคงอยู่และที่ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่นนกโดโด้และปลาโบราณ 


           เมื่อเข้ามาในห้องโถงเราจะพบกับพระเอกที่เป็นจุดเด่นของที่นี่ คือโครงกระดูกไดโนเสาร์ขนาดใหญ่เบ้อเริ่มต้อนรับเราอยู่ นอกจากนั้นจะได้พบเจอฟอสซิลของสัตว์และพืชโบราณ ชวนให้อัศจรรย์ใจว่าครั้งหนึ่งในโลกใบนี้เคยมีอะไรที่ไม่น่าเชื่อปรากฏอยู่จริงด้วยหรือ 

 สัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนปลาโลมาเปี๊ยบแต่จริงๆแล้วเป็นไดโนเสาร์ที่พัฒนาการมาอยู่ในทะเลลึก
 
ตัวนิ่มโลกล้านปีซึ่งมีเกราะเหมือนกับตัวนิ่มปัจจุบันแต่เป็นเกราะกลมที่พับม้วนไม่ได้

ปลาดึกดำบรรพ์ที่เคยคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว 85 ล้านปีแต่เพิ่งมาพบว่ายังคงมีลูกหลานตัวเป็นๆอยู่รอดได้จนถึงโลกปัจจุบัน


หลายอันมีมีวิธีการนำเสนออย่างน่าสนใจ อย่างเช่นการอธิบายวิธีลอยน้ำและดำน้ำของฮิบโปโดยเปรียบเทียบอวัยวะของมันกับอุปกรณ์ดำน้ำ เรือดำน้ำ และชุดดำน้ำ 

การอธิบายว่าเลียงผาสามารถเดินบนหินผาได้เพราะมีเท้าที่มีลักษณะเหมือนดอกยางรถยนต์  และอธิบายว่าอูฐในทะเลทรายเขตหนาวขนปุกปุย (มีอูฐแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย) เทียบกับอูฐทะเลทรายเขตร้อนว่าพวกมันปรับตัวให้เข้ากับดินฟ้าอากาศคนละแบบได้อย่างไร และนอกจากขนยาวๆและหนอกที่มีถึงสองอันแล้ว อากาศหนาวสามารถทำให้อูฐมีขาสั้นลงด้วย (เกี่ยวอะไรกันนี่??) 


งานดิสเพลย์ที่โดดเด่นคือพุ่มไม้ที่ทำมาจากนกฮัมมิ่งเบิรด์จำนวนร้อยๆตัว น่าเสียดายที่ตอนนี้สีดูหม่นลงไปตามกาลเวลาแล้ว

ตรงบันไดทางขึ้นไปชั้นบนเราจะพบกับท่านปรมาจารย์ทางด้านชีววิทยา 2 ท่าน ท่านแรกคือชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ผู้เป็นต้นแบบทฤษฎีวิวัฒนาการที่เรารู้จักกันดี อีกท่านคือ โทมัส เฮนรี แฮกเลย์ (Thomas Henry Huxley) ผู้นำเสนอทฤษฎีการคัดเลือกโดยตามธรรมชาติ และเป็นคนที่เสนอว่าบรรพบุรุษของนกคือไดโนเสาร์ แถมยังจัดนกกับไดโนเสาร์เป็นสัตว์ประเภทเดียวกันอีกด้วย 

ลงานของทั้งสองท่านนี้ต่างมีส่วนสนับสนุนกันและกัน ช่วยให้เราอธิบายถึงที่มาของอาณาจักรพืชและสัตว์ได้มากทีเดียว






Comments

Popular posts from this blog

นำชมงานศิลปะ ที่หอศิลป์แห่งลอนดอน ((National Gallery of London)

หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London)

ชมงานศิลปินทั่วโลกที่หอศิลป์แห่งชาติสก๊อตแลนด์ (National Gallery of Scotland) เอดินบะระ